วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


Antoine de Saint-Exupéry. Qui c'est?


Antoine de Saint-Exupéry

เป็นนักเขียนและนักบินชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1900 มีงานเขียนเป็นจำนวนมากในภาษาฝรั่งเศส ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "เจ้าชายน้อย" Antoine de Saint-Exupéry หายสาบสูญขณะบินลาดตระเวนอยู่เหนือน่านฟ้าแอฟริกาเหนือเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1944
ในปี ค.ศ. 1998 ชาวประมงชื่อ ฌ็อง-โกลด บีย็องโก ชาวฝรั่งเศส ได้พบชิ้นส่วนที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นสร้อยข้อมือของแซ็งแตกซูว์เปรี ขณะจับปลาอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมาร์แซย์ ในปี ค.ศ. 2000 นักประดาน้ำชื่อ ลุก ว็องแรล ได้พบซากของเครื่องบิน P-38 Lightning ซึ่งทางการฝรั่งเศสได้กู้ขึ้นมา และยืนยันว่าเป็นเครื่องบินลำที่แซ็งแตกซูว์เปรีเป็นนักบิน 
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 นักบินขับไล่ชาวเยอรมันชื่อ Horst Rippert วัย 88 ปี ได้ออกมายืนยันว่า เขาเป็นนักบินที่ทำการลาดตระเวนในบริเวณที่พบซากเครื่องของแซ็งแตกซูว์เปรี ในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 และเป็นผู้ยิงเครื่อง P-38 Lightning ตกในคืนนั้น เขากล่าวว่าเขาเป็นแฟนหนังสือของแซ็งแตกซูว์เปรี และทราบในภายหลังสงครามว่าอาจจะเป็นผู้ยิงเครื่องบินของแซ็งแตกซูว์เปรีตก
ผลงาน

  • 1929 - Courrier sud (ไปรษณีย์ใต้)
  • 1931 - Vol de nuit (เที่ยวบินกลางคืน)
  • 1939 - Terre des Hommes (แผ่นดินของเรา)
  • 1942- Pilote de Guerre
  • 1943 – Le Petit Prince (เจ้าชายน้อย)
  • 1943 - Lettre à un Otage
  • 1948 - Citadelle

Fête de la France


Fête nationale de la France


...งานเทศกาลที่จัดกันในปัจจุบันล้วนเป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอดีต หมู่บ้านแต่ละแห่งจะต้องมีงานฉลองของตน และในแต่ละเมืองจะต้องมีเทศกาลของดีของเด่นประจำปีไว้สนุกสนานกัน เช่น งานเดินขบวนคนยักษ์ (คนต่อขา) ของทางตอนเหนือของฝรั่งเศส งานคาร์นิวัลเมืองนีซ (Nice) งาน Ferias เมืองนีมส์ (Nîmes) และเมืองอาร์ล (Arles) งานประจำปีเมืองบายอน (Bayonne) หรือเมืองเบซิเยส์ (Béziers) ฯลฯ งานเหล่านี้เป็นที่รวมความสนุกสนานของชาวเมืองซึ่งยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นให้มาร่วมความบันเทิงด้วยกัน นอกจากงานเทศกาลต่างๆ ในเขตภูมิภาคแล้ว ฝรั่งเศสยังมีงานสำคัญประจำปีระดับชาติอีก งาน ซึ่งทุกเมืองจะเฉลิมฉลองพร้อมๆ กัน งานแรกคืองานวันชาติ 14 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันสำคัญที่เปิดตัวด้วยการสวนสนามของทหารเหล่าต่างๆ และจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่ถนนชองส์-เอลิเซ่ส์ (Champs-Elysées) อันเลื่องชื่อของปารีส พอถึงกลางคืนจะมีการจุดดอกไม้ไฟที่สวยงามตระการตา และมีงานเต้นรำที่สนุกสนานแบบฝรั่งเศสแท้ ส่วนตามเมืองใหญ่ๆ มักจัดการแสดงดนตรีกลางแจ้งให้ชมกันโดยไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู งานใหญ่งานที่สองคือ เทศกาลดนตรีซึ่งจัดขึ้นทุกวันที่ 21 มิถุนายน เทศกาลนี้เปิดโอกาสให้คนรักดนตรีทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นได้แสดงความสามารถกันเต็มที่และสุดเหวี่ยงในท้องถนนและทุกหนทุกแห่ง นอกจากนี้ยังมีเทศกาลเพลงคลาสสิค ละคร ละครสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมายตลอดทั้งปี เพียงเท่านี้คุณก็คงพอรู้แล้วว่าในฝรั่งเศสความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้นไม่มีการเว้นวรรคจริงๆ







Le Tour de France

การแข่งจักรยานทางไกล Le Tour de France 2011
ครั้งที่ 98 ได้เริ่มขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม- วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2554 นี้





Le tour de France (ฝรั่งเศส: Tour de France หมายถึง การท่องฝรั่งเศส) หรือบางครั้งเรียกว่า ลากรองด์บูกล์ (La Grande Boucle) และ เลอตูร์ (Le Tour) เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลรอบประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1903 จนถึงปัจจุบัน (เว้นการจัดแข่งขันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง)
Le tour de Franceเป็นการแข่งขันจักรยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลหนึ่งในสามรายการใหญ่ ที่จัดการแข่งขันในยุโรป รวมเรียกว่า แกรนด์ทัวร์ โดยอีกสองรายการคือโดยอีกสองรายการคือ
★ จีโรดีตาเลีย (Giro d’Italia) จัดในอิตาลี ช่วงเดือนพฤษภาคม-ต้นมิถุนายน
★ วูเอลตาอาเอสปันญา (Vuelta a España) จัดในสเปน ช่วงเดือนกันยายน
การแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1903 เกิดขึ้นเนื่องจากการท้าทายกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสชื่อ โลโต้ (L’Auto) มีนักแข่งเข้าร่วมจำนวนถึง 60 คน แต่สามารถเข้าเส้นชัยได้เพียง 21 คน ซึ่งกิตติศัพท์ของความยากลำบากในการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันนี้เป็นที่สนใจ และมีผู้ชมการแข่งขันช่วงสุดท้ายในกรุงปารีส ตามสองฟากถนนระหว่างทางราว 100,000 คน และกลายเป็นประเพณี ที่การแข่งขันทุกครั้งจะไปสิ้นสุดที่ประตูชัย จตุรัสเดอเลตวล ปารีส
ในปี ค.ศ. 1910 เริ่มมีการจัดเส้นทางแข่งขันเข้าไปในเขตเทือกเขาแอลป์ ปัจจุบันเส้นทางการแข่งขันจะผ่านทั้งเทือกเขาแอลป์ ทางตะวันออก และเทือกเขาพีเรนีสทางใต้ของฝรั่งเศสการแข่งขันตูร์เดอฟรองซ์จะแบ่งเป็นช่วง (stage) เพื่อเก็บคะแนนสะสม ผู้ชนะในแต่ละช่วงจะได้รับเสื้อ (jersey) เพื่อสวมใส่ในวันต่อไป โดยมีสีเฉพาะสำหรับผู้ชนะในแต่ละประเภท คือ
★ สีเหลือง (maillot jaune – yellow jersey) สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด
★ สีเขียว (maillot vert – green jersey) สำหรับผู้ชนะในแต่ละสเตจ
★ สีขาวลายจุดสีแดง (maillot à pois rouges – polka dot jersey) สำหรับผู้ชนะในเขตภูเขา ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า จ้าวภูเขา King of the Mountains สีขาว (maillot blanc – white jersey) สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด ที่อายุต่ำกว่า 25 ปี
★ สีรุ้ง (maillot arc-en-ciel – rainbow jersey) สำหรับผู้ชนะการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก (World Cycling Championship) ซึ่งมีกฏว่าจะต้องใส่เสื้อนี้เมื่อแข่งขันในประเภทเดียวกับที่ผู้แข่งนั้นเป็นแชมป์โลกอยู่
★ เสื้อแบบพิเศษ สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด และชนะการแข่งขันช่วงย่อย และจ้าวภูเขา


Du samedi 2 au dimanche 24 juillet 2011, le 98e Tour de France comprendra 21 étapes pour une distance de 3 430,5 kilomètres




วันชาติของฝรั่งเศส (La Fête Nationale)

วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า “The Feast of the Federation” เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ “Champs-de-Mars” ในกรุงปารีส

แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย “the Third Republic*”นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น “วันชาติฝรั่งเศส”และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น

ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้


Les saisons en France



               ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนาว   ในปีหนึ่งแบ่งออกเป็น  4  ฤดู   แต่ละฤดูจะกินเวลา  3  เดือน   วันเดือนที่กำหนดว่าเป็นวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของแต่ละฤดูนั้น   จริง ๆ แล้วไม่ได้หมายความว่าอากาศจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นจริง ๆ   วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิบางปีในบางท้องถิ่นอากาศจะหนาวมากกว่าฤดูหนาวในบางถิ่น   ฤดูทั้ง  4  ของฝรั่งเศสมีดังนี้คือ

           1. ฤดูใบไม้ผลิ ( le printemps ) 

ฤดูใบไม้ผลิเริ่มวันที่ 21 มีนาคม สิ้นสุดวันที่ 21 มิถุนายน ในฤดูนี้อากาศจะอบอุ่นขึ้น ต้นไม้ที่โกร๋นปราศจากใบมาตลอดเวลา 3 เดือน ในฤดูหนาวที่หนาวเย็นจะเริ่มผลิใบ การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วมาก ในเวลาไม่กี่วันหลังอากาศอบอุ่นต้นไม้จะผลิใบเขียวชอุ่ม ปลายเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนอากาศจะไม่แน่นอน ในช่วงนี้จึงยังคงเก็บเสื้อโค้ตไม่ได้เพราะอากาศจะหนาวเมื่อไรก็ได้ บางทีอาจจะมีฝนตกบ้าง อากาศจะดีจริง ๆ ในเดือนพฤษภาคม ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่สวยงาม ฟ้าจะเป็นสีฟ้าใส พระอาทิตย์ซึ่งไม่เคยปรากฏในฤดูหนาวเริ่มส่องแสง ฤดูนี้ได้ชื่อว่าเป็นฤดูแห่งดอกไม้แห่งงานฉลองแห่งความรัก ( la saison des fleurs, des fêtes, des amours ) มีงานฉลองมากมาย เช่น พิธีรับศีลจุ่ม พิธีแต่งงาน ฯลฯ สำหรับนักเรียนนักศึกษา เดือนอากาศดีนี้หมายถึงการสอบปลายปีด้วย แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่ทุกคนคิดว่าสวงาม อากาศดี แต่ก็เป็นฤดูที่อากาศไม่แน่นอน อากาศจะเปลี่ยนแปลงจนไม่สามาถคาดหมายได้ แต่ฤดูใบไม้ผลิก็นับว่าเป็นฤดูที่ดีที่สุดฤดูหนึ่งของปี
2. ฤดูร้อน ( l’été ) 
เริ่มวันที่ 22 มิถุนายน สิ้นสุดวันที่ 22 กันยายน ฤดูร้อนเป็นฤดูที่กลางวันยาวมาก เมื่อกลางวันยาว กลางคืนก็สั้นประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง กลางวันยาวในที่นี้ หมายความว่า พระอาทิตย์ตกดินช้า สามทุ่มหรือสี่ทุ่มยังไม่มืด เมื่อไม่มืดก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ถึงกลางคืน ในประเทศสแกนดิเนเวียนนั้นในฤดูร้อน กว่าพระอาทิตย์ตกดินหรือจะมืดก็ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน กลางคืนจะยาวประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง ฤดูร้อนในฝรั่งเศสอากาศร้อน ผู้คนจึงไปชายทะเล ฤดูร้อนเป็นฤดูแห่งวันหยุด ผู้คนเฝ้ารอฤดูนี้เพื่อจะได้ไปเที่ยวทะเล เพื่อจะได้อาบแดด เพื่อจะได้รับประทานผลไม้สด ๆ เช่น สตรอเบอรี่ แต่ในฤดูร้อนผลไม้ยังไม่อร่อย ต้องรอให้ผลไม้สุกเสียก่อน ฤดูร้อนบางปีอากาศอาจจะไม่ดีฝนตกบ่อย ๆ ฤดูร้อนที่อากาศไม่ดีเรียกว่า été pourri ความหมายก็บอกว่าไม่เพลิดเพลิน เป็น “ฤดูร้อนที่เน่าเสีย” คาดว่า “été canicule” หมายถึงช่วงต้นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก บางเมืองอากาศจะร้อนมาก อุณหภูมิที่สูงสุดในฤดูร้อนในฝรั่งเศสประมาณ 30 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนมากสำหรับประเทศหนาว ทำให้คนอยากไป vacances โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปารีส
3. ฤดูใบไม้ร่วง ( l’automne ) 
ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มต้นวันที่ 23 กันยายน สิ้นสุดวันที่ 21 ธันวาคม อากาศที่สดใส แดดจ้าในฤดูร้อนเริ่มเปลี่ยน ท้องฟ้าสีเทา ลมแรง ใบไม้เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีเหลือง กลางวันสั้นมากขึ้น กลางคืนยาวขึ้น ใบไม้สีเหลือง แห้งและร่วง ฤดูใบไม้ร่วงก็เหมือนฤดูอื่น ๆ คือ อาจจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศดี หรือฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศไม่ดี คือ ฝนอาจจะตกบ่อย ตอนต้นฤดูอากาศมักจะดี ตอนปลายฤดู คือ เดือนพฤศจิกายนอากาศจะไม่ดี ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมืดครึ้ม ตอนที่ใบไม้ร่วง ต้นไม้โกร๋นเป็นตอนที่เศร้า แต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยฤดูหนึ่ง เพราะใบไม้ที่เปลี่ยนสีทำให้ฟ้าสวยงามหาที่เปรียบไม่ได้ ป่าไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ( ตอนต้นและตอนกลางฤดู ) จะใช้คำขยายว่า coloré ซึ่งหมายถึงระบายด้วยสีประดับด้วยสี ( อันสวยงาม ) “ศิลปินมักจะให้ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยที่สุด เนื่องจากสีใบไม้ที่เปลี่ยนสีแตกต่างกันมากมายหลายสี ซึ่งธรรมชาติเท่านั้นจะทำได้ ทางใต้ของฝรั่งเศสอากาศจะไม่หนาว แต่มีลมแรง ทางใต้จึงสามารถปลูกต้นไม้ที่สู้ลมได้ เช่น ต้นมะกอก ( Olivier ) ต้นโอ๊ค ( Chêne vert ) ต้นไม้ที่มีรากยาว ๆ เช่น องุ่น ฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูที่ดีที่สุดของคนบางกลุ่ม คนฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งที่ชอบล่าสัตว์จะถือปืนออกล่าสัตว์ ฤดูนี้เป็นช่วงที่คนในประเทศหนาวสามารถออกมาเดินกลางแจ้งได้ ก่อนที่ความหนาวจะคลืบคลานเข้ามา

4. ฤดูหนาว ( l’hiver ) 
เริ่มวันที่ 22 ธันวาคม สิ้นสุดวันที่ 20 มีนาคม ปลายฤดูใบไม้ร่วง กลางวันสั้นมากขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฤดูหนาวในประเทศหนาวหรือประเทศฝรั่งเศสคือ ความหนาว ฝนและหิมะ แต่ฤดูหนาวก็เหมือนฤดูอื่น ๆ คือ เป็นฤดูที่คนบางกลุ่มเฝ้ารอ นั่นคือผู้ที่ชอบกีฬาฤดูหนาวและผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาฤดูหนาว เมืองที่อยู่บริเวณภูเขาและเป็นสถานีสกี ( Stations de ski ) จะคึกคักและมีชีวิตชีวา ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่ง " Sports d'hiver " ครอบครัวหรือโรงเรียนจะพาลูก ๆ และเด็ก ๆ ไปเล่นสกีบนภูเขาในช่วง " Vacances de neige " ผู้ที่เดินทางโดยการขับรถที่อยู่ในเขตภูเขาที่มีหิมะตกจะต้องมี pneus à clons หรือ roués avec chaine ซึ่งเป็นยางรถที่ใช้บนถนนที่ลื่นด้วย vergle ( ฝนปนหิมะ ) gel ( น้ำที่แข็งตัว ) และ dégel ( น้ำแข็งที่ละลายแล้ว ) นอกจากเจ้าของรถจะต้องเตรียมรถของตนเองให้พร้อมที่จะแล่นไปบนถนนที่อันตรายแล้ว ทางราชการก็เตรียม chasse - neiges ( รถกวาดหิมะ ) เพื่อเปิดทางหากหิมะตกมาก ๆ บนทางหลวงก็จะมีกระสอบทรายและกระสอบเกลือวางไว้ประจำจุด ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งการฉลอง จะเห็นว่ามีเทศกาลหลายเทศกาลในฤดูนี้ เช่น Fête de Saint - Nicolas ; Noël ; Nouvel An ; Fête des Rois ; Carnaval 
นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศปานกลาง ( le climat doux et tempéré ) ของยุโรปแล้ว อากาศในฝรั่งเศสยังแตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะที่เด่นคือ ความไม่แน่นอน อากาศแต่ละฤดูไม่เหมือนกัน และฤดูเดียวกันในแต่ละปีก็ไม่เหมือนกัน